ทำความรู้จัก CTR แบบละเอียด พร้อมวิธีเพิ่มประสิทธิภาพ

Panida
|Updated: Dec 21, 2023

อัตราการคลิกที่ดีควรมีค่าที่เท่าไหร่ แล้วมีความสำคัญกับการทำโฆษณาอย่างไร หาคำตอบความหมายของ CTR ได้ที่นี่เลย!

CTR หรือ ที่รู้จักกันในนามว่า อัตราการคลิกนั้น เจ้าของธุรกิจ หรือคนทำโฆษณา คงจะคุ้นกันมาไม่น้อย เพราะถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญ ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโฆษณาเลยทีเดียวล่ะ แต่ด้วยความคุ้นเคยนี่ล่ะ อาจจะทำให้ใครหลายคน มองข้ามความสำคัญ และหันไปให้ความสนใจตัวแปรตัวอื่นแทน Kodsana.com จึงไม่รอช้า ที่จะพาไปทำความรู้จัก CTR พร้อมวิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโฆษณา ที่รับรองได้ว่า อ่านแล้ว CTR ของโฆษณาของคุณ จะพุ่งพรวดขึ้นอย่างแน่นอน 

CTR คืออะไร

CTR นั้นย่อมาจากคำว่า “CLICK THROUGH RATE” หมายถึง อัตราส่วนที่บ่งบอกว่าผู้เข้าชมคลิกโฆษณาของเราบ่อยแค่ไหน ทำความเข้าใจแบบง่ายๆ ก็คือ สมมติว่าโฆษณาของเราถูกแสดงไป 100 ครั้ง และมีคนคลิกโฆษณา 5 คน นั่นหมายถึงเรามี CTR = 5%  หากใครยังไม่ทราบว่า CTR นั้นคำนวนอย่างไร สามารถคำนวณได้ตามสูตรด้านล่างนี้เลย

อัตราการคลิก

หากเห็นสูตรแล้วยังไม่เข้าใจว่า แล้ว Click คืออะไร Impression เป็นอย่างไร มาทวนความรู้ ทำความรู้จักกันอีกสักรอบได้เลย โดย Click คือ จำนวนผู้คนที่คลิกเข้ามาในโฆษณาของคุณ ในส่วนของ Impression นั่น หมายถึง จำนวนผู้คนที่เห็นโฆษาของคุณแสดง ในที่นี้ ถ้าพวกเขาไม่คลิก ก็จะไม่ทำให้เกิด CTR ยิ่งมีคนคลิกเยอะเท่าไหร่ อัตรการคลิก หรือ CTR ก็ย่อมสูงขึ้นตามนั่นเอง

ความสำคัญของ CTR

อัตราการคลิก

Acquisio.com

ในเบื้องต้นนั้น CTR เป็นตัวที่บ่งบอกได้อย่างดีว่า โฆษณาของคุณมีความน่าสนใจมากน้อยขนาดไหน? หากน่าสนใจ โดดเด่น ค่า CTR ก็จะแสดงออกมาเลยว่ามีเปอร์เซ็นที่สูง แต่หากค่า CTR น้อย นั่นก็สามารถตีความได้เบื้องต้นว่าโฆษณาของคุณไม่มีความน่าสนใจมากพอ จึงไม่มีคนคลิกนั่นเอง

ถ้าหากแคมเปญของเรามีค่า CTR ในเปอร์เซ็นต์ที่สูง นั่นก็หมายถึงว่า โฆษณาของคุณเป็นที่น่าสนใจ แต่ในทางกลับกันถ้าค่า CTR มีเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำ ก็คือ ผู้เข้าชมไม่สนใจโฆษณาของคุณนั่นเอง ดังนั้นการจะทำให้ CTR มีเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น หรือ ทำให้คนสนใจคลิกลงบนโฆษณาของคุณมากขึ้น อาจจะต้องปรับแคมเปญทั้งในส่วนของการออกแบบสร้างสรรค์โฆษณา และการเซตแคมเปญ โดยใช้ Targeting Tools ต่างๆ  เพื่อให้โฆษณาของเราถูกแสดงตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายของแคมเปญโฆษณาเรามากที่สุด

CTR สามารถบอกอะไรเราได้บ้าง

ความสัมพันธ์ของสินค้า – กลุ่มผู้เข้าชมในเว็บไซต์ ถ้ามีการจัดสินค้า ตรงกับ target group ของผู้เข้าชมแล้ว ความสนใจที่มีต่อสินค้าก็จะมีมากขึ้นด้วย และจะทำให้ ค่า CTR ย่อมสูงขึ้นไปด้วย ในทางตรงข้ามกัน ถ้าเลือกลงโฆษณาในเว็บไซต์ที่มี target group ไม่มีความสัมพันธ์กับตัวสินค้า หรือ บริการ ค่า CTR ย่อมต่ำตามไปด้วย

แคมเปญทางการตลาด – โฆษณา CTR สามารถวัดได้ถึงกิจกรรมหรือข้อเสนอที่ทางนักการตลาด เสนอให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ว่าน่าสนใจจนดึงดูด ให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์นั้นคลิกป้ายโฆษณาเข้าไปเล่นกิจกรรม หรือพึงพอใจที่จะรับข้อเสนอนั้นมากน้อยแค่ไหน

CTR ที่ดี ควรอยู่ที่เท่าไหร่?

CTR

Wordstream.com

สำหรับหลายคนที่พอรู้จัก หรือมีพื้นฐานเกี่ยวกับ CTR อยู่บ้างแล้ว ในการลงโฆษณา Google Ads ก็อาจจะเกิดข้อสงสัยอยู่บ้างไม่น้อย ว่าอัตราการคลิกที่ดีนั้น ควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ดีล่ะ?

ซึ่งคำตอบที่ทาง Google เคยกำหนดไว้ ตามสากลทั่วไป ค่า CTR ไม่ควรจะต่ำกว่า 3% หมายถึงหากโฆษณาแสดง 100 ครั้ง คนคลิกเข้ามาไม่ควรจะน้อยกว่า 3 คนนั่นเอง ทั้งนี้มาตรฐานก็จะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่รูปแบบโฆษณาเช่น Search Ads , Display Ads แต่สำหรับค่า CTR ที่สามารถบ่งบอกได้ว่าแบบนี้สิ ถึงเรียกว่ามีผลตอบรับที่ดี มีประสิทธิภาพ ก็ควรจะอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 7-10% สำหรับ Search Ads ก็น่าจะเหมาะสม

ทั้งนี้ค่า CTR มาตรฐานของแต่ละธุรกิจนั้น ก็แตกต่างกันออกไป เช่น บางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงๆ ก็อาจจะทำให้ต้องแชร์ส่วนแบ่งคลิกไปค่อนข้างเยอะ แบบนี้เราอาจจะตั้งมาตรฐานไว้ที่ไม่เกิน 5% ก็น่าจะเพียงพอ แต่บางธุรกิจที่การแข่งขันไม่สูง บางโฆษณา CTR ก็พุ่งสูงไปถึง 20% เลยทีเดียว ซึ่งก็แล้วแต่เราจะตั้งมาตรฐานของเราไว้นั่นเอง

สามารถเพิ่ม CTR อย่างไรได้บ้าง

ให้ความสำคัญกับการเขียนโฆษณา

CTR

wordstream.com

ชัดเจนตรงประเด็น – ก่อนอื่นต้องทำความใจก่อนว่า ลูกค้าของคุณไม่ชอบรอนาน ชอบอะไรที่เร่งด่วนทันใจ ต้องการรับข้อมูลบริการหรือสินค้าที่ตนเองสนใจทันทีที่ผลการค้นหาปรากฏ อีกทั้งพื้นที่ในการนำเสนอข้อความโฆษณานั้นยังมีค่อนข้างสั้น ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเสียพื้นที่ไปกับข้อความที่ไม่มีประโยชน์ แต่ควรเป็นข้อความที่ตรงประเด็น ชัดเจน กระชับ อ่านง่าย และข้อมูลครบถ้วนอธิบายไปเลยว่าสินค้าของเราคืออะไร มีแหล่งผลิตที่ไหน คุณภาพสินค้าเป็นอย่างไร แล้วโฆษณาของคุณจะดูน่าสนใจขึ้นมาทันที

เน้นจุดแตกต่างของโฆษณา – ให้คุณจินตนาการว่าคุณเสิร์ชหาสินค้าสักอย่าง แล้วข้อความโฆษณาก็ขึ้นมาเหมือนกันหมดเลย แล้วคุณจะเลือกกดโฆษณาตัวไหนได้ นอกจากอันดับแรก ดังนั้น แม้โฆษณาของคุณจะไม่ได้อยู่อันดับแรก แต่คุณสามารถทำโฆษณาออกมาให้แตกต่าง ไม่เหมือนใครได้ อ่านจะใช้การเล่นคำที่แตกต่าง เช่น “ถูกกว่าข้างบน” ก็จะทำให้ผู้ค้นหาเกิดสะดุดตาขึ้นมา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละคน ว่าจะเขียนได้น่าสนใจมากน้อยขนาดไหน

ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจ

datafeedwatch.com

หากคุณไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ให้ข้อความโฆษณาของคุณเป็นที่โดดเด่น สะดุดตาน่าสนใจ การคิดข้อความให้ครีเอทีฟก็อาจจะเป็นเรื่องยากเกินไป ให้ลองเทคนิคง่ายๆ อย่าง การยื่นข้อเสนอ ก็จะทำให้ข้อความโฆษณาของคุณ น่าสนใจ และโดดเด่นออกมาก เช่น ลดราคาพิเศษ! , ฟรีขนาดทดลอง! แน่นอนว่า ในส่วนของผู้บริโภคนั้น โดยพื้นฐานย่อมชอบการ “ลด แลก แจก แถม” เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากคุณกำลังจัดโปรโมชั่นอยู่ มีหรือ ที่ผู้ค้นหาจะไม่อยากคลิกโฆษณาของคุณ

ทำ A/B testing ให้กับโฆษณา

อัตราการคลิก

thenestweb.com

A/B Testing สำคัญอย่างไร? ทำไมต้องทำ เพราะการทำโฆษณาในลักษณะ ใช้สองตัวเลือก หรือสองแบบขึ้นไป ก็เพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ว่าแบบไหนดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ โดยหลักการง่ายๆ ในการทำนั้น ขั้นแรกคุณต้องตั้งเป้าหมายไว้ก่อน ว่าต้องการจะเทสอะไร ทำไปเพื่ออะไร ในบริบทนี้ ให้คุณตั้งเป้าหมายไว้ว่า ต้องการเพิ่ม CTR จากนั้นให้หาตัวแปรที่ต้องการเปรียบเทียบ เช่น Text Ads 2 ตัว ทำแบบไหนจะได้ CTR ที่ดีกว่า และเลือกใช้กลุ่มตัวอย่างในการทดสอบเป็นชุดเดียวกัน (เช่น Audience, Demographic) จากนั้นก็หาเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบ สำหรับการทำ Google Ads นั้น เครื่องมือทดสอบการเปรียบเทียบโฆษณาจะคือ เครื่องมือ Draft & Experiment

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : เลือกโฆษณาที่ใช่ ด้วยการทำ A/B Testing

สรุป

แม้จริงๆแล้ว อัตรการคลิก หรือ CTR จะไม่ใช่ทุกอย่างของการทำโฆษณา เพราะคนคลิกเข้ามาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะออกเลยหรือเปล่า หรือจะทำการซื้อหรือไม่ แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจ หรือคนทำโฆษณาแล้วนั้น CTR เป็นเสมือนด่านแรกของร้านค้า ที่ควรให้ความสำคัญ เปรียบง่ายๆว่า คุณมีร้านค้าตั้งอยู่ ระหว่างคนไม่เข้าเลย กับคนเข้ามาดูบ้าง อันไหนจะมีโอกาสปิดการขายได้มากกว่ากัน? ดังนั้น ควรกหันมาใส่ใจกับค่า CTR จำไว้อย่างเดียวว่า “ยิ่งเยอะ ยิ่งดี” อย่าลืมพัฒนา ปรับปรุงโฆษณา เพื่อสามารถเรียกผู้ชมเว็บไซต์ คลิกเข้ามาในเว็บไซต์เยอะๆ เมื่อเรียกคนเข้าร้านได้จำนวนมากแล้ว อีกสิ่งสำคัญคือต้องพัฒนาเว็บไซต์ในทุกส่วน